“ทรัมป์” ปลดไมก์ วอลซ์ พ้นตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ เดินหน้าปรับครั้งใหญ่ในสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ

ข่าวด่วนวันนี้ (ข่าวทั่วไทย)

วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศการปลดไมก์ วอลซ์ ออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นการปรับเปลี่ยนบุคลากรครั้งสำคัญในรัฐบาลทรัมป์ นับตั้งแต่กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สองเมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมา โดยได้แต่งตั้งนายมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้รักษาการในตำแหน่งนี้ชั่วคราว การปลดครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งภายในที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องภายในสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ (NSC)

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในขณะที่ประกาศการปลดวอลซ์นั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวว่าจะแต่งตั้งให้วอลซ์ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติแทน พร้อมทั้งยกย่องการทำงานของวอลซ์ในช่วงที่ผ่านมาว่าได้ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อผลประโยชน์ของชาติเป็นลำดับแรก อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวใกล้ชิดรัฐบาลหลายแห่งเปิดเผยว่า สาเหตุหลักของการปลดครั้งนี้มาจากเหตุการณ์อื้อฉาวเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

รายละเอียดของเหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อวอลซ์ได้เพิ่มบรรณาธิการของนิตยสารดิแอตแลนติก (The Atlantic) เข้าไปในกลุ่มแชทภายในของเจ้าหน้าที่รัฐบาลโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งในแชทกลุ่มนั้นมีการหารือเกี่ยวกับแผนการทิ้งระเบิดของสหรัฐในเยเมนที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ต่อมาทางนิตยสารดิแอตแลนติกได้นำข้อมูลที่ได้มารายงานต่อสาธารณะเกี่ยวกับการหารือภายในของเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับปฏิบัติการโจมตีดังกล่าว สร้างความไม่พอใจให้กับทรัมป์และคณะผู้บริหารในทำเนียบขาวอย่างมาก

ในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งหนึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ทรัมป์ได้แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างชัดเจน โดยกล่าวว่าต้องการหารือประเด็นที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ในสถานที่ที่มีความปลอดภัยเท่านั้น ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณถึงความไม่พอใจที่มีต่อวอลซ์ แม้ว่าในขณะนั้น ทรัมป์และคณะทำงานจะยังคงแสดงความเชื่อมั่นต่อวอลซ์ต่อสาธารณะก็ตาม

แหล่งข่าวภายในทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ทรัมป์ต้องการรอให้การบริหารงานครบ 100 วันแรกก่อนที่จะเริ่มปรับเปลี่ยนบุคลากรระดับสูงในคณะรัฐมนตรี การประกาศปลดวอลซ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนทำให้แทมมี บรูซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศทราบเรื่องนี้จากผู้สื่อข่าวในระหว่างการแถลงข่าวประจำวัน

ตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติถือเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจมากในคณะบริหารของสหรัฐฯ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการรับรองจากวุฒิสภา ในช่วงการดำรงตำแหน่งวาระแรกของทรัมป์ระหว่างปี 2560-2564 เขาได้แต่งตั้งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติถึง 4 คน ประกอบด้วย ไมเคิล ฟลินน์, เอช.อาร์. แม็กมาสเตอร์, จอห์น โบลตัน และโรเบิร์ต โอไบรอัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งในทีมความมั่นคงของทรัมป์

นอกจากวอลซ์แล้ว อเล็กซ์ หว่อง รองที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียและเคยเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศที่รับผิดชอบประเด็นเกาหลีเหนือในสมัยแรกของทรัมป์ ก็ถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่งเช่นกัน การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ถือเป็นการปิดฉากความขัดแย้งเรื่องบุคลากรภายในหน่วยงาน NSC ที่ดำเนินมาตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน

มีรายงานว่านับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนเป็นต้นมา มีเจ้าหน้าที่หลายคนถูกปลดออกจากตำแหน่ง รวมถึงเจ้าหน้าที่ของ NSC อย่างน้อย 20 คน ผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ และนักการเมืองระดับสูงของกระทรวงกลาโหมอีก 3 คน การปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่นี้สะท้อนถึงความพยายามของทรัมป์ในการจัดระเบียบและควบคุมหน่วยงานด้านความมั่นคงให้สอดคล้องกับนโยบายและวิสัยทัศน์ของเขาในสมัยที่สอง

สภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) เป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดนโยบายด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ เป็นองค์กรหลักที่ประธานาธิบดีใช้ในการประสานงานด้านกลยุทธ์ความมั่นคง เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานนี้มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเกี่ยวกับแนวทางของสหรัฐฯ ในการจัดการกับความขัดแย้งที่สำคัญและซับซ้อนทั่วโลก ดังนั้น การปรับเปลี่ยนบุคลากรในระดับสูงของ NSC จึงอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของสหรัฐฯ ในอนาคต

สำหรับนายมาร์โค รูบิโอ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติควบคู่ไปกับการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนั้น จะเป็นบุคคลแรกนับตั้งแต่เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ รัฐบุรุษอาวุโสของสหรัฐฯ และผู้มีบทบาทสำคัญในยุคสงครามเย็น ที่ได้ดำรงสองตำแหน่งสำคัญด้านนโยบายต่างประเทศพร้อมกัน โดยคิสซิงเจอร์เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติในช่วงทศวรรษ 1970 ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน และเจอรัลด์ ฟอร์ด

ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงหลายคนมองว่า การควบรวมอำนาจทั้งสองตำแหน่งไว้ที่บุคคลเดียวอาจส่งผลดีในแง่ของความเป็นเอกภาพในการกำหนดนโยบาย แต่ในขณะเดียวกันก็อาจนำมาซึ่งความกังวลเกี่ยวกับการกระจุกตัวของอำนาจมากเกินไป นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่า ทรัมป์อาจจะแต่งตั้งบุคคลที่มีความใกล้ชิดและภักดีกับเขามากขึ้นให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติอย่างถาวรในอนาคตอันใกล้

การปรับเปลี่ยนครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงหลายประการ ทั้งความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ความขัดแย้งในยูเครน การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์กับจีนและรัสเซีย รวมถึงประเด็นภัยคุกคามจากการก่อการร้ายและความมั่นคงไซเบอร์ จึงเป็นที่จับตามองว่าการเปลี่ยนแปลงในทีมความมั่นคงของทรัมป์จะส่งผลอย่างไรต่อทิศทางนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของสหรัฐฯ ในระยะต่อไป